ทำไมต้องใช้กล่องใส่อาหาร
กล่องใส่อาหารเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการเก็บรักษาอาหารให้สดและปลอดภัยจากสิ่งปนเปื้อน ไม่ว่าคุณจะเตรียมอาหารไว้รับประทานเองหรือซื้อมาจากร้านอาหาร กล่องใส่อาหารก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่ผู้คนใส่ใจเรื่องสุขภาพและความสะอาดมากขึ้น
ประโยชน์ของกล่องใส่อาหาร
- ช่วยเก็บรักษาอาหารให้สดใหม่นานขึ้น
- ป้องกันสิ่งปนเปื้อนและแบคทีเรีย
- สะดวกในการพกพาอาหารไปรับประทานนอกบ้าน
- ช่วยแยกประเภทอาหารและควบคุมปริมาณ
- ลดการใช้ถุงพลาสติกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกซื้อกล่องใส่อาหาร
1. วัสดุที่ใช้ผลิต
กล่องใส่อาหารมีหลากหลายวัสดุให้เลือก เช่น พลาสติก แก้ว สแตนเลส และซิลิโคน แต่ละชนิดมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน เช่น
- พลาสติก: น้ำหนักเบา ราคาถูก แต่อาจมีสารเคมีที่เป็นอันตราย
- แก้ว: ปลอดภัย ทนความร้อนได้ดี แต่มีน้ำหนักและแตกง่าย
- สแตนเลส: แข็งแรง ทนทาน ปลอดภัย แต่ราคาค่อนข้างสูง
- ซิลิโคน: น้ำหนักเบา ยืดหยุ่น ทนความร้อนได้ดี แต่มีราคาสูง
เลือกวัสดุให้เหมาะกับการใช้งานและงบประมาณของคุณ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและความทนทานเป็นหลัก
2. ขนาดและรูปทรง
กล่องใส่อาหารมีหลากหลายขนาดและรูปทรงให้เลือกตามความต้องการ เช่น
- แบบแยกช่อง: เหมาะสำหรับใส่อาหารหลายชนิดในมื้อเดียว
- แบบวงกลม: เหมาะกับอาหารประเภทซุปหรือสลัด
- แบบสี่เหลี่ยม: เหมาะสำหรับอาหารจานหลักหรือของว่าง
- แบบมีหูหิ้ว: สะดวกในการพกพา
เลือกขนาดให้พอดีกับปริมาณอาหารที่คุณรับประทานในแต่ละมื้อ และรูปทรงที่เหมาะสำหรับประเภทอาหาร
3. ฝาปิด
ฝาปิดกล่องใส่อาหารเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยป้องกันการหกเลอะเทอะและรักษาความสดของอาหาร ควรเลือกฝาที่ปิดสนิท ไม่รั่วซึม และเปิดปิดง่าย บางรุ่นมีระบบล็อคเพื่อความปลอดภัยมากขึ้น
4. การทำความสะอาด
กล่องใส่อาหารที่ดีควรทำความสะอาดง่าย ไม่มีซอกมุมที่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค บางรุ่นสามารถใส่เครื่องล้างจานได้ ซึ่งสะดวกและประหยัดเวลา แต่ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าวัสดุที่ใช้ผลิตเหมาะกับการล้างด้วยเครื่อง
5. ราคา
กล่องใส่อาหารมีหลากหลายระดับราคาตั้งแต่หลักสิบจนถึงหลักร้อยบาท ขึ้นอยู่กับวัสดุ ขนาด และยี่ห้อ อย่าเลือกซื้อเพียงเพราะราคาถูก แต่ควรพิจารณาคุณภาพและความคุ้มค่าด้วย กล่องราคาแพงมักมาพร้อมกับนวัตกรรมและความทนทานที่เหนือกว่า
เทคนิคการใช้กล่องใส่อาหารอย่างถูกวิธี
1. ล้างให้สะอาดก่อนใช้งานครั้งแรก
ก่อนใช้กล่องใส่อาหารเป็นครั้งแรก ควรล้างให้สะอาดด้วยน้ำอุ่นผสมน้ำยาล้างจาน แล้วล้างออกให้หมด เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและสารเคมีที่อาจตกค้างมาจากขั้นตอนการผลิต
2. อย่าใส่อาหารร้อนจัด
หลีกเลี่ยงการใส่อาหารที่ร้อนจัดลงในกล่อง เพราะอาจทำให้พลาสติกเสียรูปหรือปล่อยสารเคมีที่เป็นอันตรายได้ ปล่อยให้อาหารเย็นลงสักพักก่อนจึงใส่ลงกล่อง
3. แยกประเภทอาหาร
ใช้กล่องแยกช่องหรือกล่องหลายใบเพื่อแยกประเภทอาหาร เช่น แยกข้าว ผัก และเนื้อสัตว์ ป้องกันการปนเปื้อนและรักษากลิ่นรสของอาหารแต่ละชนิด
4. อย่าใส่อาหารจนเต็มกล่อง
เว้นช่องว่างในกล่องใส่อาหารประมาณ 1-2 เซนติเมตร เพื่อให้อากาศไหลเวียนและอาหารไม่เน่าเสียเร็ว
5. เขียนวันที่เก็บ
ใช้ปากกาเมจิกหรือสติ๊กเกอร์เขียนวันที่ที่เก็บอาหารลงบนกล่อง จะได้รู้ว่าควรรับประทานภายในกี่วันและหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่หมดอายุ
ยี่ห้อกล่องใส่อาหารยอดนิยม
1. Lock & Lock
กล่อง Lock & Lock ผลิตจากพลาสติก PP และซิลิโคน มีระบบล็อคสี่ด้านที่ป้องกันการรั่วซึมได้ดีเยี่ยม ทนทานต่อการใช้งานและสามารถใส่เครื่องล้างจานได้ มีให้เลือกหลากหลายขนาดและรูปทรง
2. Pyrex
กล่อง Pyrex ผลิตจากแก้วบอโรซิลิเกต ทนความร้อนสูง รับประกันความปลอดภัยต่อสุขภาพ สามารถนำเข้าเตาอบและเครื่องล้างจานได้ มีลิขสิทธิ์เฉพาะเทคโนโลยีการผลิตแบบ “Made in USA”
3. Corelle
แบรนด์ Corelle เป็นที่รู้จักในด้านจานชามกระเบื้องเคลือบ แต่ก็มีผลิตภัณฑ์กล่องใส่อาหารที่ได้มาตรฐานเช่นกัน ผลิตจากวัสดุ Vitrelle เบาแต่ทนทาน ปลอดสารเคมีอันตราย ออกแบบทันสมัยและใช้งานได้หลากหลาย
4. Rubbermaid
Rubbermaid เป็นแบรนด์จากอเมริกาที่ผลิตกล่องพลาสติกคุณภาพดี ปลอดสาร BPA มีระบบปิดผนึกพิเศษ รักษาความสดได้ยาวนาน มีหลายขนาดและสีสันให้เลือกตามการใช้งาน ราคาไม่แพงนัก
สรุป
การเลือกซื้อกล่องใส่อาหารควรพิจารณาปัจจัยหลายด้าน ทั้งวัสดุ ขนาด ฝาปิด ความสะดวกในการทำความสะอาด และราคา เพื่อให้ได้กล่องที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และตอบโจทย์การใช้งานของคุณมากที่สุด นอกจากนี้ ควรใช้กล่องใส่อาหารอย่างถูกวิธี เพื่อรักษาสุขอนามัยและยืดอายุการเก็บรักษาอาหาร
เลือกกล่องจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ มีการรับประกันคุณภาพ และผ่านการรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัย อย่าเพิ่งตัดสินใจซื้อเพียงเพราะราคาถูก แต่ลองเปรียบเทียบคุณสมบัติกับยี่ห้ออื่นๆ ก่อน กล่องใส่อาหารที่ดีจะเป็นเพื่อนคู่ครัวที่ช่วยให้การเตรียมและพกพาอาหารเป็นเรื่องง่ายและสนุกยิ่งขึ้น
คำถามที่พบบ่อย
1. กล่องใส่อาหารแบบพลาสติกปลอดภัยแค่ไหน?
กล่องพลาสติกส่วนใหญ่ในปัจจุบันผลิตจากพลาสติก PP ซึ่งปลอดสาร BPA อันตราย อย่างไรก็ตาม ควรเลี่ยงการใส่อาหารร้อนจัด หรือนำเข้าไมโครเวฟ และเปลี่ยนกล่องใหม่เมื่อมีรอยขีดข่วน
2. การเก็บกล่องใส่อาหารในตู้เย็นมีข้อควรระวังอย่างไร?
ควรเก็บกล่องไว้ในชั้นกลางหรือล่างของตู้เย็น อุณหภูมิประมาณ 2-5 องศาเซลเซียส อย่าวางชิดผนังมากเกินไป และอย่าเปิดฝากล่องทิ้งไว้นาน เพื่อรักษาความเย็นและป้องกันแบคทีเรีย
3. กล่องใส่อาหารจากวัสดุชนิดไหนดีที่สุด?
วัสดุแต่ละชนิดมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ทั้งพลาสติก แก้ว สแตนเลส และซิลิโคน อยู่ที่การเลือกให้เหมาะกับการใช้งาน งบประมาณ และความชอบส่วนตัว แนะนำของแต่ละคนเป็นหลัก โดยรวมแล้ว กล่องแก้วและสแตนเลสถือเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุดในแง่ของสุขภาพ
วิธีเพิ่มอายุการใช้งานของกล่องใส่อาหาร
1. หลีกเลี่ยงการใส่ของมีคม
อย่าใส่ของมีคม เช่น มีด ส้อม หรือตะเกียบลงในกล่อง เพราะอาจทำให้เกิดรอยขีดข่วนที่เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย หากจำเป็นให้ใช้ถุงหรือกล่องแยกให้อุปกรณ์พวกนี้
2. อย่าแช่กล่องในน้ำนานเกินไป
เมื่อล้างกล่องเสร็จแล้ว อย่าแช่ทิ้งไว้ในน้ำนานเกินไป เพราะอาจทำให้วัสดุเสื่อมสภาพหรือเป็นแหล่งเพาะเชื้อรา ควรล้างให้สะอาดแล้วผึ่งให้แห้งทันที
3. เก็บในที่แห้ง อากาศถ่ายเท
เก็บกล่องในตู้ที่แห้ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่ควรวางซ้อนทับกันหลายชั้นหรือใกล้กับแหล่งความร้อน เช่น เตาหรือเครื่องทำน้ำอุ่น
4. ตรวจสอบสภาพกล่องเป็นประจำ
หมั่นตรวจดูสภาพของกล่องเป็นระยะว่ามีรอยแตกหรือชำรุดหรือไม่ ถ้าผิดปกติให้เปลี่ยนใบใหม่ทันที อย่าใช้กล่องที่มีปัญหาต่อเพราะอาจปล่อยสารพิษหรือสิ่งสกปรกลงในอาหารได้
5. หมุนเวียนใช้กล่องสม่ำเสมอ
พยายามใช้กล่องแต่ละใบสลับกันไป อย่าใช้ใบเดิมซ้ำๆ ทุกวัน เพื่อกระจายการสึกหรอและยืดอายุการใช้งานโดยรวมของเซ็ตกล่องใส่อาหาร
ข้อควรระวัง
- อย่านำกล่องที่มีรอยบุบ แตก หรือมีกลิ่นผิดปกติมาใส่อาหาร
- อย่าใส่น้ำร้อนจัด อาหารมัน หรือของเหลวในกล่องพลาสติกหรือซิลิโคนเป็นเวลานาน
- อย่าอุ่นกล่องในไมโครเวฟนานเกิน 2-3 นาที และใช้ความร้อนระดับปานกลางเท่านั้น
- อย่าใช้ฝอยขัดหรือแปรงที่มีขนแข็งทำความสะอาดกล่อง เพราะอาจขูดขีดผิวกล่องได้
- อย่าใช้กล่องเก่าที่ใช้มานานแล้วหรือมีคราบติดแน่น ควรเปลี่ยนกล่องใหม่ทุกๆ 1-2 ปี
การเลือกซื้อและใช้กล่องใส่อาหารอย่างถูกวิธีไม่ใช่เรื่องยาก เพียงศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบทางเลือกให้ดี ก็จะได้กล่องคุณภาพดีที่ใช้งานได้ยาวนานและปลอดภัยต่อสุขภาพ แถมยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกด้วย